ROE ย่อมาจาก Return on Equity หมายถึง อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของบริษัทในการใช้เงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นเพื่อสร้างผลกำไร
การใช้ ROE ในการเลือกหุ้นลงทุน
- ROE สูง
- แสดงว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการสร้างผลกำไร
- มีโอกาสจ่ายเงินปันผลสูง
- ราคาหุ้นมีโอกาสขยับขึ้น
- ROE ต่ำ
- แสดงว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการสร้างผลกำไรต่ำ
- อาจมีปัญหาในการดำเนินงาน
- ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวลง
อย่างไรก็ตาม
- ROE ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเพียงตัวเดียว ที่ใช้ในการตัดสินใจลงทุน
- ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
- งบการเงิน
- อัตราส่วนทางการเงิน
- ปัจจัยเชิงคุณภาพ
- ความเสี่ยง
ตัวอย่าง
- บริษัท A มี ROE 20%
- แสดงว่าบริษัท A มีประสิทธิภาพในการสร้างผลกำไรสูง
- มีโอกาสจ่ายเงินปันผลสูง
- ราคาหุ้นมีโอกาสขยับขึ้น
- บริษัท B มี ROE 10%
- แสดงว่าบริษัท B มีประสิทธิภาพในการสร้างผลกำไรต่ำ
- อาจมีปัญหาในการดำเนินงาน
- ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวลง
ข้อควรระวัง
- ROE สูง
- อาจเกิดจากบริษัทมีหนี้สินสูง
- อาจเกิดจากบริษัทมีรายได้ไม่แน่นอน
- ROE ต่ำ
- อาจเกิดจากบริษัทอยู่ในช่วงลงทุน
- อาจเกิดจากบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง
สรุป
- ROE เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญตัวหนึ่งในการเลือกหุ้นลงทุน
- ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
- งบการเงิน
- อัตราส่วนทางการเงิน
- ปัจจัยเชิงคุณภาพ
- ความเสี่ยง
- นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด วิเคราะห์อย่างรอบคอบ และตัดสินใจลงทุนอย่างมีสติ
แหล่งข้อมูล
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย: https://www.setinvestnow.com/
- กลต. รู้ทันลงทุน: https://www.sec.or.th/TH/Pages/Home.aspx
- หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ: https://www.thansettakij.com/
หมายเหตุ
- บทความนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
- การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน