การพร่ำพูดโดยไม่ยอมลงมือทำ มันไม่มีค่าอะไรหรอก แม้คุณจะมีไอเดียมากมายหากมันไม่ถูกทำให้สำเร็จมันก็ไม่ต่างจากการเพ้อฝันกลางวัน ยิ่งหากเราเข้าใจว่าอะไรเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เวลาเจอมันแล้ว ติดกับดักของความล้มเหลว เรื่องเล็กๆก็ไม่สามารถผ่านไปได้ แล้วจะทำเรื่องที่มหญ่กว่านี้ได้อย่างไร บทความนี้ได้สรุปความรู้จากในหนังสือของ ไบรอัน เทรซี่ ให้คุณได้อ่านแล้ว
เคล็ดลับจากหนังสือ หยุดพูดแล้วลงมือทำซะ (Just shut up And Do IT) โดย ไบรอัน เทรซี่
สาเหตุของความล้มเหลว
ร้อยละ 95 ของสิ่งที่คุณทำไม่ได้ หรือไม่ได้ลงมือทำ มันไม่ได้เกิดจากใครที่ไหนเลย
แต่มันเกิดจากนิสัยของคุณที่สร้างมันขึ้นมา พฤติกรรมต่างๆของเราล้วนกำเนิดมาจากความเชื่อและประสบการณ์ต่างๆหลอมรวมกันจนกลายเป็นนิสัยในตอนนี้
อุปสรรคใหญ่ที่ขวางกันความสำเร็จของคุณมันคือ นิสัยทางลบ ซึ่งเจ้านิสัยทางลบนี้มันปิดกั้นประสิทธิภาพของตัวเราค่อนข้างมาก
ทำให้ศักยภาพ ความสามารถต่างๆของเราถูกจำกัดเอาไว้ ไม่ถูกปลดปล่อยออกมาเท่าที่ควร

จนบางครั้งนิสัยเหล่านี้ อาจก่อตัวขึ้นมาจากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในแต่ละวัน และสภาพสังคมที่เราคลุกคลีทุกๆวัน ทั้งด้านบวกและลบ
เมื่อรับข้อมูลต่างๆบ่อยขึ้นเราก็ทำตามข้อมูลต่างๆเหล่านั้นจนกลายเป็นอัตโนมัติ เป็นนินิสัย
เคยมีคนบอกว่า คุณจะเป็นคนที่มีนิสัยเป็นค่าเฉลี่ยของอย่างน้อย 5 คนที่คิดใกล้ชิดที่สุด
แต่นิสัยที่แย่ที่สุดที่จะพาคุณไปสู่ความล้มหลว
ก็คือ ความเชื่อของคุณที่สร้างข้อจำกัดให้กับตนเอง
คุณเคยเกิดความคิดแบบนี้ไหม เช่นคิดว่า เราจะทำสิ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ แต่จริงๆคุณทำมันได้
เพียงคุณไม่กล้าที่จะลงมือทำ เพราะตัวเองสร้างข้อจำกัดอุปสรรคก้อนใหญ่ขวางมันไว้ เพียงเพราะความกลัว
คนส่วนใหญ่มีอุปสรรคของความสำเร็จ
มีกรณีน่าสนใจที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพได้มากขึ้น
คุณรู้ไหมว่าเขาฝึกช้างยังไงให้ทำตามคำสั่ง
เมื่อก่อนช้างเมื่อมันอยู่ในป่ามันช่างดุร้ายน่ากลัว หรือแม้แต่อยู่ในสนามรบ ทั้งพาแม่ทัพบุกทะลวงข้าศึกได้อย่างน่าเกรงขาม

แต่ทว่าวันนี้เรากลับเห็นช้างเดินตามควาญช้าง ในท้องตลาด หรือบางครั้งนำมาไถนา ลากซุง
ซึ่งควาญช้างตัวเล็กกว่าเป็นสิบเท่า ทำไมมันต้องเชื่อฟังละ มันเป็นเช่นนี้ได้ยังไงกันครับ
ที่เป็นเช่นนี้เพราะการฝึกช้าง เขาจะนำช้างตั้งแต่เล็กๆแยกออกจากแม่ของมัน แล้วทำการมัดขาข่างหนึ่งของมันด้วยเชือกไว้กับเสาต้นหนึ่ง
ซึ่งตอกลึกลงไปในดิน แน่นอนว่าลูกช้างต้องขัดขืนดิ้นรนเพื่อจะหนีกลับไปหาแม่ของมัน ทั้งร้องไห้ และต่อต้านสุดๆ
แต่แล้วมันก็ไม่มีผลอะไรเลย เพราะช้างยังตัวเล็กแรงยังไม่มาก
สุดท้ายลูกช้างก็ยอมแพ้ในที่สุด เลิกดิ้นรนขัดขืน
ในทุกๆวันควาญช้างจะพรากลูกช้างมามัดขาไว้ที่เสา โดยแยกจากแม่มันหลายๆวัน
นานวันเข้าเมื่อนำลูกช้างมามัดแบบนี้มันจะไม่มีอาการขัดขืนใดๆเลย ลูกช้างจะยอมเดินตามมาให้มัดโดยง่าย
จนเมื่อลูกช้างเติบใหญ่ ตัวไม่ต่างกับยักษ์ เรี่ยวแรงมหาศาลโค่นต้นไม้ พังบ้านได้อย่างง่ายดาย แต่เวลามันไปทำงานกับควาญช้าง
เขาจะนำแค่เชือกเส้นเล็กๆ โซ่เส้นเล็กๆผูกเท่าเชือกจูงหมาไว้กับตอ
ซึ่งทำให้มันหยุดนิ่ง ไม่มีการดิ้นรน พอควาญช้างเอาปลายเชื่อกอีกฝั่งผูกเข้ากับตอเสาเล็กๆฝังลงดินไม่กี่นิ้ว
มันกลับยืนนิ่งสงบทั้งๆ ที่มันสามารถถอนแม้กระทั้งเสาไฟฟ้าได้สบาย และเชื่อฟังควาญช้างแบบไม่ขัดขืน
ตัวอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากมนุษย์เมื่อเป็นเด็กเราอาจถูกห้ามจากผู้ใหญ่ว่า ไม่นะ ห้ามทำ อย่าทำ มานี่เดี๋ยวนี้ อย่าแตะต้องมันนะ หรือบางครั้งพ่อแม่ถึงกับใช้ไม้เรียวทำโทษถ้าไม่เชื่อในสิ่งที่สั่ง
มันจะทำให้เป็นการผลูกฝังความหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ
คุณเป็นเหมือนลูกช้างหรือไม่
คนส่วนใหญ่ก็สอนลูกเหมือนกับลูกช้าง
พอเด็กโตขึ้นมา ก็กลับต้องการให้เขาคิดเป็นทำเป็น แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง วิธีสอนมันผิดแต่แรกแล้ว

ในสมองของเด็กมีแต่ความคิดที่ว่า ฉันทำไม่ได้ มันไม่น่าจะทำได้หรอก ฉันไม่เก่งขนาดนั้น ถ้าทำผิดพลาดแล้วต้องโดนตำหนิแน่เลย ไม่กล้ากลัว
มันไม่ต่างอะไรจากช้างใหญ่ที่ ยอมให้ถูกล่ามด้วยเชือกจูงหมา ผูกเอาไว้ที่ขาเพราะมันคิดว่ามันคงไปไหนไม่ได้ ทั้งที่แท้จริงศักยภาพมันสูงกว่านั้นมากนัก
ลองเปลี่ยนใหม่ กล้าเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองปิดกั้นมัน เพราะความสำเร็จรอเราอยู่
ไม่มีสิ่งไหนที่คุณทำไม่ได้หรอก มันสำเร็จแน่นอนถึงจะช้าก็ตาม
ถ้าคุณไม่หยุดทำมันเสียก่อน
9richerก้าวที่ดีขึ้น